การกลับมาเจอกันอีกครั้งของคนคุ้นเคยหลังจากไม่ได้พบเจอกันมาหลายปี ผ่านทางเฟซบุ๊กหรือไลน์ เคยสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงของเขาเหล่านั้นหรือไม่ บางคนก็แทบจำกันไม่ได้ หรือลบภาพจำในอดีตอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงไปในทางรูปร่างที่ลงพุง แขนขาใหญ่ แก้มย้อยน่าหยิก จนอดที่จะทักทายไม่ได้ว่า “ไม่เจอกันตั้งนานสมบูรณ์ขึ้นนะ ท้องหรือเปล่า ยินดีด้วยนะ สามี/ภรรยาเลี้ยงดีใช่ไหม ถึงได้จ้ำม่ำขนาดนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยประโยคที่ดูนุ่มนวลเพียงใด จุดประสงค์ลึกๆ แล้วต้องการถามสั้นๆ แค่ว่า ทำไมอ้วนจัง?
คำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างกันมากนัก เช่น พยายามลดอยู่ นี่ขนาดกินน้อยแล้วนะ บางรายถึงกับงดอาหารมื้อค่ำ หันไปรับประทานผลไม้แทน (ผลไม้บางชนิดมีทั้งแป้ง และน้ำตาลจำนวนมาก ซึ่งส่งผลให้อ้วนได้) แต่ยังอ้วนอยู่ดี
เมื่ออายุมากขึ้น อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายจะลดลง ซึ่งถือเป็นการชะลอตัวตามธรรมชาติ
“ก่อนที่จะเพิ่มหรือลดน้ำหนักมาทำความรู้จักกับค่า BMR (Basal Metabolic Rate) กันก่อน BMR เป็นอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายในขณะพัก เป็นความต้องการแคลอรีขั้นพื้นฐานเพื่อให้ร่างกายดำรงชีวิตอยู่ได้ เช่น การเต้นของหัวใจ การย่อยอาหาร การทำงานของปอด ตับ ผิวหนัง เป็นต้น เมื่อเรารู้ว่า BMR มีค่าเท่าใด เราจะได้เลือกรับประทานอาหารและออกกำลังกายเพื่อให้เกิดความสมดุลต่อร่างกายได้ถูกต้อง”
ผู้ชาย : BMR = 66 + (13.7 x น้ำหนัก กก.) + (5 x ส่วนสูง ซม.) – (6.8 x อายุ)
ผู้หญิง : BMR = 665 + (9.6 x น้ำหนัก กก.) + (1.8 x ส่วนสูง ซม.) – (4.7 x อายุ)
ตัวอย่างเช่น นางสาวเฮลท์ตี้ อายุ 30 ปี สูง 155 เซนติเมตร น้ำหนัก 43 กิโลกรัม BMR = 665 + (9.6 x 43) + (1.8 x 155) – (4.7 x 30) = 1231.3 กิโลแคลอรี คืออัตราการเผาผลาญพื้นฐานของ น.ส.เฮลท์ตี้
“จะสังเกตเห็นได้ว่า ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ ค่า BMR จะลดลง นั่นหมายความว่า อัตราการเผาผลาญพลังงานจะลดลง ซึ่งสวนทางกับอายุ ในขณะที่การรับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิมหรือเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน โดยที่ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้ ส่วนที่เหลือจะไปสะสมกลายเป็นไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน และทำให้อ้วนในที่สุด” นพ.ธรณัส อธิบายเพิ่มเติม
BMR เป็นค่าอัตราการเผาผลาญในขณะที่คุณอยู่เฉยๆ หากมีกิจกรรมการเคลื่อนไหว สามารถคิดคำนวณตามลักษณะกิจกรรมที่ทำเป็นแคลอรีทั้งหมดที่คุณใช้ในหนึ่งวัน หรือที่เรียกว่า Total Daily Energy Exprenditure (TDEE) ได้ดังนี้
TDEE = BMR x ลักษณะกิจกรรม
ไม่ได้ออกกำลังกายเลย = BMR x 1.2
ออกกำลังกายเล็กน้อย 1 – 3 วัน/สัปดาห์ = BMR x 1.375
ออกกำลังกายปานกลาง 4 – 5 วัน/สัปดาห์ = BMR x 1.55
ออกกำลังกายทุกวัน = BMR x 1.725
ออกกำลังกายอย่างหนักทุกวันเช้าเย็น = BMR x 1.9
ตัวอย่างเช่น น.ส.เฮลท์ตี้ ออกกำลังกายเล็กน้อย 1 – 3 วันต่อสัปดาห์ เท่ากับว่า น.ส.เฮลท์ตี้ มีอัตราการเผาผลาญพลังงานต่อวันคือ 1231.3 x 1.375 = 1,693 กิโลแคลอรี ในกรณีที่ น.ส.เฮลท์ตี้ ต้องการจะลดน้ำหนักให้นำค่า TDEE – 500 แต่หากต้องการเพิ่มน้ำหนัก TDEE + 500
ตัวเลขจำนวนนี้จะเป็นตัวกำหนดปริมาณกิโลแคลอรีของอาหารที่จะรับประทานในแต่ละวันของแต่ละบุคคล หาก น.ส.เฮลท์ตี้ ต้องการควบคุมน้ำหนักให้คงที่ ก็สามารถรับประทานข้าวมันไก่ 1 จาน ซึ่งให้พลังงานเท่ากับ 596 กิโลแคลอรี แต่ถ้ากินทุกมื้อ เช้า กลางวัน เย็น บวกกับอาหารและของหวานอย่างอื่น จะส่งผลทำให้พลังงานส่วนเกินนี้กลายเป็นไขมันค่อยๆ สะสมในอนาคต หากไม่มีการเพิ่มการเผาผลาญโดยออกกำลังกาย และรับประทานอาหารมากกว่าปริมาณการเผาผลาญในแต่ละวัน จะส่งผลทำให้เป็นโรคอ้วนได้
จากสมการคำนวณจะเห็นได้ว่า สิ่งที่คงที่คือส่วนสูงและอายุที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวที่จะควบคุมได้นั้นคือน้ำหนัก บางคนกินเยอะแต่ไม่อ้วน อาจเป็นเพราะการเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลอรีต่ำ และมีการเคลื่อนไหวอยู่บ่อยๆ ก็ช่วยเผาผลาญได้ แต่การนำออกน้อย โรคอ้วนก็ถามหา ไขมันก็ใช่ว่าจะอยู่ตามพุงหรือแขนขาเท่านั้น ยังลุกลามพอกตับ อุดตันในเส้นเลือด เสี่ยงต่อการเป็นความดัน เบาหวานและอีกสารพัดโรคที่ตามมา
อ่านมาถึงตรงนี้หากไม่อยากแก่จากภายใน ต้องคำนึงให้มากเมื่อจะนำอาหารเข้าปาก เพราะจะให้สมดุลคือ เข้าเท่าไหน ต้องเอาออกเท่านั้น วิธีการธรรมชาติที่ปลอดภัยที่สุด คือการออกกำลังกาย (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของกีฬา และเวลาในการออกกำลังกายด้วย) เพียงเท่านี้ก็สามารถเปลี่ยนอายุการเผาผลาญ จากที่เคยเท่ากับอายุคนสูงวัย ให้กลับมาเท่าอายุจริง หรือหากมีระเบียบวินัยทั้งการรับประทานอาหารและออกกำลังกาย คุณก็จะสวยสมวัย หรือดูดีกว่าวัยก็เป็นได้