แม้ว่าความพยายามในการลดน้ำหนักอย่างหักโหมจะช่วยให้คุณมีน้ำหนักที่ลดลงได้สมใจ แต่ยังมีอวัยวะบางส่วนที่ลดขนาดลงยากเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะ “พุง” ผู้หญิงหลายคนถึงขั้นเสียความมั่นใจไปเลยทีเดียว เมื่อมีคนเข้ามาทักว่าตั้งครรภ์ได้กี่เดือนแล้ว ฟังดูมันเจ็บปวดมากกว่าเข้ามาทักว่าอ้วนเป็นไหนๆ
สำหรับผู้ที่ใจร้อนอยากจะได้หน้าท้องแบนราบทั้งที่ลืมไปว่าตัวเองเพิ่งออกกำลังกายมาได้เพียง 3 – 4 เดือน (แต่รับประทานไขมันสะสมไว้นานหลายสิบปี) ด้วยเทคโนโลยีด้านความงามที่ทันสมัยบวกกับการคิดค้นและความสามารถของศัลยแพทย์ การผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าท้องตึงช่วยคุณได้
ลักษณะหน้าท้องหย่อนคล้อย หรือไขมันพุงสะสมนั้น ปัจจัยหลักมักจะเกิดจากการรับประทานอาหารที่มากเกินไป โดยฉพาะอาหารจำพวกแป้งและไขมัน เหล่านี้จึงก่อให้เกิดการสะสมตัวและจัดเก็บอยู่ในบริเวณพุง รวมถึงการตั้งครรภ์ หรือหลังจากการลดน้ำหนักมากๆ แม้ไขมันจะลดน้อยลง แต่ผิวหนังบริเวณหน้าท้องหรือพุง กลับไม่หดตัวตาม เช่นนี้ก็ทำให้เกิดการหย่อนคล้อย นอกจากนี้ยังพบผนังกล้ามเนื้อหย่อนตัวตามวัยด้วย
เบื้องต้นศัลยแพทย์จะทำการตรวจการสะสมของไขมัน ความตึงตัวของชั้นผนังกล้ามเนื้อหน้าท้อง และความหย่อนของผิวหนังซึ่งเป็น 3 ปัจจัยหลักในการประเมินว่าผู้ที่จะทำการรักษาจะใช้รูปแบบและวิธีการใด โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 มีการสะสมของไขมันที่หน้าท้องเพียงอย่างเดียว ผิวหนังยังมีความตึงตัวดี ผนังกล้ามเนื้อไม่หย่อนหลวม พบบ่อยทั้งชายและหญิงแต่เพศหญิงจะพบมากกว่า เพราะในผู้ชายไขมันมักจะสะสมในร่างกายในส่วนลึกตามอวัยวะภายในท้อง ที่ผนังหน้าท้องอาจจะมีไขมันสะสมได้แต่ไม่มากเท่าในผู้หญิง ซึ่งในระดับนี้ไม่มีความจำเป็นต้องผ่าตัด ควรควบคุมน้ำหนักโดยการออกกำลังกายหรือหากไม่สำเร็จการผ่าตัดโดยการดูดไขมันจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการทำให้ไขมันที่สะสมลดน้อยลดได้
ระดับที่ 2 มีการสะสมของไขมันและเริ่มมีความหย่อนคล้อยของผิวหนัง อาจมีลายให้เห็นบ้างเล็กน้อย ส่วนชั้นผนังกล้ามเนื้อยังไม่มีการหย่อนคล้อย ในระยะนี้การรักษาอาจเป็นการดูดไขมันร่วมกับการกระตุ้นผิวหนังของผนังหน้าท้องให้มีความตึงตัวมากขึ้นด้วยวิธีการใช้คลื่นอัลตร้าซาวน์หรือคลื่นวิทยุก่อให้เกิดความร้อนและเกิดการหดตัวของผิวหนังได้ในระดับหนึ่ง
ระดับที่ 3 มีการสะสมของไขมัน ผิวหนังหย่อนคล้อยร่วมกับมีการหย่อนคล้อยของผนังหน้าท้องบ้าง อาจเป็นช่วงเหนือหรือใต้สะดือแต่ลักษณะดังกล่าวจะยังไม่รุนแรง มักพบในหญิงที่ผ่านการมีบุตรมาแล้ว 1 – 2 คน การผ่าตัดดึงหน้าท้องจะเริ่มมีบทบาทเพราะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องไขมันสะสมผิวหนังหย่อนคล้อยแตกลายได้ รวมทั้งสามารถเย็บซ่อมแซมผนังกล้ามเนื้อที่หย่อนคล้อยได้ด้วย
ระดับที่ 4 เป็นระดับที่มีความรุนแรงเพราะมีการสะสมของไขมันมากขึ้น ผิวหนังมีแตกลายอย่างมาก เสียความตึงตัวและหย่อนคล้อย มักพบร่วมกับการหย่อนตัวของชั้นผนังกล้ามเนื้อหน้าท้องทำให้บางครั้งมีภาวะไส้เลื่อนผนังหน้าท้องได้ ผู้ที่ประสบปัญหานี้บางครั้งจะรู้สึกถึงการเสียแรงดันในช่องท้องส่งผลให้ทำให้ไอไม่ค่อยแรงหรือเบ่งอุจจาระไม่ค่อยออก ไม่สามารถออกกำลังได้เต็มที่ หน้าท้องจะโป่งออกเวลามีการเบ่งหรือออกแรง ส่วนมากพบในหญิงที่ตั้งครรภ์บุตรมาตั้งแต่ 3 – 4 คนขึ้นไป หรือในรายที่ลดน้ำหนักหลังจากมีภาวะอ้วนมากๆ มาก่อนในกลุ่มนี้จำเป็นต้องทำการผ่าตัดดึงหน้าท้องเพื่อแก้ไขปัญหา
ควรหลีกเลี่ยงการทำให้เจ็บและงดเว้นการออกกำลังกายโลดโผนหนักหน่วงเป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ เพื่อให้กล้ามเนื้อได้สร้างเซลล์สมานแผลที่แข็งแรงทั้งแผลที่ถูกเย็บกระชับกล้ามเนื้อด้านในและแผลผ่าตัดด้านนอก และเพื่อเป็นการป้องกันการคั่งของน้ำเหลือง และควรใส่ชุดที่รัดกระชับป้องกันการเคลื่อนไหวที่รุนแรงด้วย
ก่อนทำการผ่าตัดศัลยกรรมจะมีการพูดคุยและวางแผนกับคนไข้ก่อนเสมอ เพราะไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์หรือการกลับมาอ้วนอีกครั้งจะทำให้เกิดการยืดตัวได้ใหม่ของผนังหน้าท้อง ส่งผลทำให้เกิดการหย่อนคล้อยของชั้นกล้ามเนื้อและผิวหนังได้อีก หากวางแผนจะมีบุตรควรทำการศัลยกรรมนี้หลังการตั้งครรภ์เพื่อจะได้ไม่ต้องเสี่ยงเจ็บตัวซ้ำอีกรอบ
จะเห็นได้ว่าการผ่าตัดดึงผนังหน้าท้องเป็นการผ่าตัดที่อาจจะเป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องอาศัยการวิเคราะห์และตัดสินใจจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญเพื่อจะได้เลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม และการผ่าตัดจะต้องทำภายใต้การดูแลจากทั้งศัลยแพทย์ผ่าตัดและวิสัญญีแพทย์จึงจะได้มาซึ่งผลการรักษาที่ดีปลอดภัยและมีภาวะแทรกซ้อนน้อยหรืออาจไม่มีเลยก็เป็นได้