“อาการเสียงแหบแห้ง” ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก ถ้าเกิดขึ้นกับกลุ่มนักร้อง ครู หรือผู้ที่ต้องใช้เสียงในการทำงาน แต่มันจะแปลกถ้าอาการนี้เกิดขึ้นกับบุคคลทั่วไปอย่างพวกเรา…แต่ที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือ เสียงแหบแห้ง อาจเป็นหนึ่งในอาการของ “โรคกล่องเสียงอักเสบ” ก็เป็นได้
กล่องเสียง (Larynx) เป็นอวัยวะส่วนสำคัญที่อยู่ถัดลงไปจากคอหอย และอยู่บริเวณส่วนบนของหลอดลม ทำหน้าที่เป็นช่องทางเดินหายใจ และในการเปล่งเสียงพูด แต่ถ้ากล่องเสียงมีการอักเสบ บวม แดง นอกจากจะทำให้เสียงแหบแห้งแล้ว ยังส่งผลให้การทำงานของเนื้อเยื่อต่างๆที่บวม โดยเฉพาะสายเสียงทำงานได้ไม่เต็มที่ หายใจลำบากได้ด้วย
– การติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่ในวันแรกๆ มักจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส เชื้อไข้หวัดลงที่บริเวณกล่องเสียง เราจะรู้สึกระคายเคือง แสบคอ มีไอมาก อาจมีเสียงแหบเล็กน้อย ใน 2 – 3 วันถัดมา อาจเริ่มมีการติดเชื้อแบคทีเรีย จะรู้สึกว่ามีอาการเจ็บคอมากขึ้น และมีอาการเสียงแหบ มีเสมหะสีเหลืองปน เขียว
– การได้รับสารเคมี หรือสารพิษ เช่น สูบบุหรี่, ดื่มสุรา หรือการที่ได้สัมผัสกับฝุ่น, ควัน เป็นประจำ รวมถึงจากการไอเรื้อรัง ส่งผลทำให้สายเสียงอักเสบได้ ซึ่งผู้ป่วยมักมีอาการเสียงแหบ เจ็บคอ หลังตื่นนอนตอนเช้า และอาการจะทุเลาลงในช่วงสาย แต่หากเสียงแหบนานกว่าสัปดาห์ หรือเหนื่อยหอบฉับพลันแนะนำรีบมาพบแพทย์ด่วน
– การใช้เสียงที่ผิดวิธี จนติดเป็นนิสัย เช่น ชอบตะโกน หรือใช้เสียงมาก และนานเกินไป อาจทำให้สายเสียงอักเสบได้ โดยมักเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่ใช้เสียงในการทำงาน เช่น นักร้อง, นักการเมือง, วิทยากร, ครู – อาจารย์ เป็นต้น
– โรคภูมิแพ้ คนที่มีโรคประจำตัวเช่นนี้มีโอกาสที่จะเกิดกล่องเสียงอักเสบได้ โดยจะมีอาการเสียงแหบ แต่ไม่มีไข้ หรือ ไซนัสอักเสบเรื้อรังแล้วมีน้ำมูก หรือหนองไหลลงคอไป ทำให้สายเสียงเกิดการระคายเคือง หรือแม้กระทั่งการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้โดยตรงเป็นประจำ
– โรคกรดไหลย้อน น้ำย่อยในกระเพาะอาหารจะไหลย้อนไปที่กล่องเสียง ไปสัมผัสสายเสียงที่อยู่ทางด้านหน้า แล้วจะเริ่มอักเสบ คนไข้ส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกเหมือนมีอะไรขมๆ เปรี้ยวๆ อยู่ในคอ จนมีอาการเสียงแหบ และรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ
โรคกล่องเสียงอักเสบถือว่าเป็นโรคที่อาจมีความรุนแรง และเป็นอันตรายได้อย่างหนึ่ง เพราะถ้าเริ่มมีอาการแล้วนิ่งนอนใจ ปล่อยทิ้งไว้นานๆอาการก็จะรุนแรงมากขึ้น แถมยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอีกด้วย
ใครที่มีความจำเป็นต้องใช้เสียงในการทำงาน หรือในชีวิตประจำวัน ควรจะมีการฝึกพูด ฝึกใช้เสียงให้ถูกวิธี ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้จากแพทย์โดยตรง ที่สำคัญควรพักผ่อนให้เพียงพอ เลือกดื่มน้ำที่สะอาด ให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว และหมั่นสำรวจสุขภาพของตนเอง หากรู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่ารอช้า รีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง