เส้นเลือดโป่งพองใต้จอตา…เสี่ยงตาบอด

นอนดี สุขภาพดี ชีวีมีสุข
February 14, 2022
อันตรายขณะนอนหลับ…ภัยใกล้ตัวที่ควรระวัง
February 17, 2022

เส้นเลือดโป่งพองใต้จอตาเสี่ยงตาบอด

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่า โรคต้อหินและต้อกระจกเป็นภัยคุกคามดวงตาที่น่ากลัวที่สุดแล้วล่ะก็ เปลี่ยนความคิดไปได้เลย ถ้าได้รู้จักกับ “โรคเส้นเลือดโป่งพองใต้จอตา” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นของผู้ป่วยทั่วโลก

โรคเส้นเลือดโป่งพองใต้จอตา (Polypoidal Choroidal Vasculopathy) หรือ PCV จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก หรือ Wet AMD (Aged-related Macular Degeneration) มีลักษณะเฉพาะคือมีการเติบโตที่ผิดปกติของเส้นเลือดจนก่อให้เกิดเลือดออกบริเวณหลังดวงตา ซึ่งนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน

ความจริงแล้ว โรคจอประสาทตาเสื่อม มีสาเหตุสำคัญมาจากเรื่องของอายุ, พันธุกรรม, โรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง, ความอ้วน และการสูบบุหรี่ โดยแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. โรคจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (Dry AMD)เป็นชนิดที่พบได้บ่อย เกิดจากการเสื่อมและบางลงของจุดรับภาพจอประสาทตา ทำให้ความสามารถในการมองเห็นค่อยๆ ลดลง และเป็นไปอย่างช้า ๆ

2 .โรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) พบได้ประมาณ 10 – 15 % ของโรคจอประสาทตาเสื่อมทั้งหมด และพบมากในกลุ่มผู้สูงวัยในภูมิภาคเอเชีย โดยคาดการณ์ว่าในปี 2040 จะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 17 ล้านคน   ซึ่งโรคนี้มักจะสูญเสียการมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว เพราะเกิดจากการที่มีเส้นเลือดผิดปกติงอกอยู่ใต้จอประสาทตา มีการบวมและการอักเสบของเส้นเลือดบริเวณโดยรอบ หรือในบางรายอาจพบการรั่วของเส้นเลือดในจอประสาทตาร่วมด้วย หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้เลือดออกในจอประสาทตา และตาบอดได้ โดยผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียกมีแนวโน้มที่จะมีโรคเส้นเลือดโป่งพองใต้จอตา โดยเฉพาะในกลุ่มคนเอเชีย

อาการของโรคเส้นเลือดโป่งพองใต้จอประสาทตา (PCV) อาจแตกต่างกันไปในคนไข้แต่ละคน บางคนที่เป็นเพียงข้างเดียวอาจไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่ในคนไข้ที่เป็นทั้งสองข้าง จะรู้สึกถึงการมองเห็นที่ผิดปกติ เช่น มองตรงกลางภาพไม่ชัด หรือมืดดำ หรือภาพที่เห็นดูบิดเบี้ยวไป นับเป็นโรคที่รุนแรง และมีความจำเป็นที่ต้องรีบทำการรักษา ซึ่งวิธีการรักษาโดยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน คือ

                 

– การรักษาด้วยเลเซอร์เย็น  PDT  คือ การฉีดสารบางชนิดเข้าไปเพื่อให้ไปจับกับไขมันที่มีลักษณะเฉพาะในเส้นเลือด  จากนั้นใช้เลเซอร์เย็นเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารดังกล่าวเพื่อให้เส้นเลือดบริเวณนั้นฝ่อลง แต่ข้อเสีย คือ อาจทำให้เกิดการอักเสบและเส้นเลือดฝ่อมากกว่าปกติได้

การฉีดยากลุ่ม Anti-VEGF ดังที่ได้กล่าวไปว่าโรคนี้เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเส้นเลือด ซึ่งความผิดปกติดังกล่าวนั้นเกิดจากการที่เส้นเลือดมีการสร้างสารที่มีชื่อว่า VEGF ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการสร้างเส้นเลือดขึ้นมาใหม่ เมื่อเซลล์ในบริเวณนั้นๆ ถูกทำลาย ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีสารชนิดหนึ่งที่สามารถจับกับ VEGF ส่วนเกินและยับยั้งไม่ให้เกิดการสร้างเส้นเลือดมากจนผิดปกติได้นั่นคือ Anti-VEGF ที่สำคัญมีฤทธิ์ในลดการบวม และลดการอักเสบได้อีกด้วย โดยแพทย์อาจพิจารณาใช้การฉีดยากลุ่ม Anti-VEGF ร่วมกับการรักษาด้วยเลเซอร์เย็น  PDT เพื่อให้เห็นผลมากยิ่งขึ้น ดวงตาถือว่าเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย หากไม่อยากสูญเสียดวงตาคู่นี้ไป ก็ควรดูแลรักษาไว้ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะคนที่อายุใกล้เลข 5 ก็ควรสังเกตตัวเองให้มากหน่อย อย่าชะล่าใจ อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะนั่นอาจทำให้คุณสูญเสียดวงตาคู่นี้ไปเลยก็ได้

Buy now