เกร็ดความรู้ภาวะความดันสูงกับแพทย์จีน

เทคนิคเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กดี มีความสุข
February 1, 2022
รู้เท่าทัน…ไขมันทรานส์
February 6, 2022

เกร็ดความรู้ภาวะความดันสูงกับแพทย์จีน

 

ความดันโลหิตค่าบน  คือ  แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว

ความดันโลหิตค่าล่าง  คือแรงดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว

  • วัยทารก : ไม่ควรเกิน 90/60 มิลลิเมตรปรอท
  • เด็กเล็ก 3 – 6 ปี : ไม่ควรเกิน 110/70 มิลลิเมตรปรอท
  • เด็กโต 7 – 17 ปี : ไม่ควรเกิน 120/80 มิลลิเมตรปรอท
  • วัยทำงาน 18 ปีขึ้นไป : ไม่ควรเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท
  • ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป : ไม่ควรเกิน 160/90 มิลลิเมตรปรอท

ดังนั้น ค่าความดันปกติที่เราคุ้นเคยอย่าง 120/80 ไม่ใช่ความดันปกติของทุกช่วงวัย  เช่น ถ้าวัดเด็กเล็ก แล้วได้ค่าความดัน 120/80 นั่นหมายถึงมีความดันสูงจนผิดปกติ เพราะฉะนั้น การดูช่วงวัยหรือช่วงอายุก็สำคัญ

ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันเชื่อว่า ภาวะความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ น่าจะเกิดจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกัน ที่สำคัญ คือ อิทธิพลของเอนไซม์ ที่เรียกว่า เรนิน (Renin) และฮอร์โมนแองจิโอเท็นซิน (Angiotensin) จากไต ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้จะทำงานร่วมกับต่อมหมวกไตและต่อมใต้สมองในการควบคุมน้ำ เกลือแร่ โซเดียม และการบีบตัวของหลอดเลือดในร่างกาย

โดยกลไกของแรงต้านหลอดเลือดส่วนปลายเพิ่มขึ้นที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่เกิดจากการตีบแคบลงของหลอดเลือดแดงขนาดเล็กและหลอดเลือดแดงจิ๋ว (arteriole)

ขณะเดียวกันในมุมมองแพทย์แผนจีน มองว่าภาวะความดันโลหิตสูงเป็นการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อการติดขัดของการไหลเวียนเลือดส่วนปลายของสมอง ทำให้มีสัญญาณ (จากสมองระบบประสาทส่วนกลาง) ให้มีการผลักดันเลือดและนำเลือดสู่ส่วนบนมากขึ้น ซึ่งแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญต่ออวัยวะตับ ไต และม้าม ความเสื่อมพร่องของอวัยวะทั้งสามมีผลต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง

ระบบม้ามเกี่ยวข้องกับการย่อยและดูดซึมอาหารที่รับประทานเข้าไป ถ้าอาหารตกค้างหรือม้ามพร่อง ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ จะเกิดความชื้นสะสม นานวันเข้าจะกลายเป็นเสมหะเกาะตัวตามส่วนต่างๆ ของร่างกายรวมถึงหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบตัน การผลักดันพลังและเลือดขึ้นชดเชยด้านบนมากเกินไป จะทำให้กลไกพลังที่ลงสู่ด้านล่างของปอดลดลง ซึ่งพลังปอดกำกับพลังลงล่างต้องได้รับสารอาหารที่ย่อยแล้วจากม้ามเป็นแหล่งให้พลัง  สรุปคือม้ามพร่องเป็นสาเหตุหนึ่งของพลังขึ้นบนขาดการควบคุม ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงได้ รวมถึงทำให้เกิดไขมันในเลือดสูงและไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือดด้วย

แบ่งเป็น 3 กลุ่มอาการหลักๆ คือ

1.หยางของตับมากเกิน    เสมหะคั่ง
2.หยินของตับและไตพร่อง

3.หยางของตับมากเกิน

 

จะแสดงอาการ ดังต่อไปนี้

  • เวียนศีรษะ หน้าแดง ตาแดง
  • โกรธบ่อย อารมณ์ฉุนเฉียว
  • นอนไม่หลับ ฝันมาก
  • ปากขม คอแห้ง
  • ลิ้นแดง มีฝ้า
  • ชีพจรตึงมีแรง
  • เสมหะคั่ง
  • มึนหัวตาลาย แน่นหน้าอก
  • ผิดปกติ มีเสียงวี๊ดในหู ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
  • ขี้หลงขี้ลืม นอนไม่หลับ เหนื่อยง่าย ปากแห้ง
  • ปวดเอวปวดเข่า ไม่มีแรง

 

 

ความดันโลหิตช่วงเช้ากับความดันโลหิตช่วงบ่าย

ปกติแล้วความดันโลหิตจะขึ้นๆ ลงๆ ไม่เท่ากันตลอดวัน เช่น ตอนเช้าความดันซิสโตลิก (ความดันตัวบน) อาจจะวัดได้ 130 มม.ปรอท ขณะที่ตอนช่วงบ่ายอาจวัดได้ถึง 140 มม.ปรอท ขณะนอนหลับอาจวัดได้ต่ำถึง 100  มม.ปรอท เป็นต้น

แพทย์แผนจีนมองว่า การขับเคลื่อนพลังขึ้นด้านบนเกี่ยวข้องกับกลไกการทำงานของตับและพลังพื้นฐานที่เรียกว่า หยวนชี่ของไต หลังเที่ยงคืน พลังจะค่อยๆ สะสมตัวและสูงขึ้นทำให้เกิดการตื่น ความดันในช่วงเช้าจึงเป็นช่วงขาขึ้น ประกอบกับการทำงานในช่วงเช้า ร่างกายต้องใช้พลังงานมาก เมื่อถึงตอนบ่ายร่างกายจำเป็นต้องมีการชดเชยเลือดไปสมองมากขึ้น โดยทั่วไปความดันช่วงเช้าจึงมักจะต่ำกว่าช่วงบ่าย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการทำงานและกลไกการปรับสมดุลยังทำงานดีอยู่ แต่ถ้าพบว่าความดันโลหิตช่วงบ่ายต่ำกว่าช่วงเช้า แสดงว่ากลไกการปรับให้เลือดไปสมองมีปัญหา มีความบกพร่องของการทำงานของอวัยวะภายในซึ่งต้องได้รับการปรับสมดุล

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตก็สามารถช่วยลดความดันเลือดได้

1.ควบคุมน้ำหนัก

  1. ลดการกินเกลือ
  2. งดเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
  3. ออกกำลังกาย

แต่นอกจากการดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้ว หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยก็ควรจะพบแพทย์เพื่อปรึกษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีที่สุด

 

 

 

Buy now