ทำอย่างไรให้รู้ว่าเป็นมะเร็งให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งรู้ไวการรักษาก็ย่อมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- การวินิจฉัยชนิดมะเร็งที่ถูกต้อง เริ่มจากอาการที่สงสัย เช่น ตรวจพบก้อนเนื้อที่อวัยวะที่สงสัย มีภาพทางการแพทย์หรือผลตรวจแล็ปผิดปกติ และได้ชิ้นเนื้อมาตรวจทางพยาธิวิทยา ที่เรียกเจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) ทั้งจากการใช้เข็มเจาะบริเวณที่อยู่ตื้น หรือ การผ่าตัดเข้าไปภายในร่างกายเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งจริงๆ แต่โชคดีว่าปัจจุบันเรามีทางเลือกใหม่ๆ เช่น
– การสอบถามประวัติ ทั้งประวัติส่วนตัว, ครอบครัว และสิ่งแวดล้อม
– ตรวจร่างกายอย่างละเอียด
– การตรวจเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็ง Tumor marker
– ตรวจปัสสาวะ
– ตรวจ DNA
– ส่องกล้องเข้าไปในทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะ endoscopic biopsy
– ใช้เข็มเจาะและนำวิถีด้วยภาพรังสีเจาะผ่านผิวหนังเข้าไปที่อวัยวะภายใน หรือ intervention biopsy
– ใช้ภาพคลื่นแม่เหล็ก MRI ร่วมกับฉีดสารพิเศษ Primovist เพื่อดูภาพของเนื้องอกตับและวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเนื้อตับชนิด HCC ได้โดยไม่ต้องเจาะชิ้นเนื้อ
– เจาะน้ำจากช่องเยื่อหุ้มปอด ช่องท้อง ออกมาปั่นเอาเซลล์ไปทำการตรวจหามะเร็ง Cytology
- ในกรณีที่ตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบว่าเป็นมะเร็ง แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นมะเร็งของอวัยวะนั้นหรือกระจายมาจากอวัยวะอื่น ก็สามารถตรวจย้อมพิเศษเพื่อบอกที่มาของมะเร็งได้ (Immuno Histo Chemistry : IHC) ซึ่งการย้อมพิเศษจะทำให้เรารู้ชนิดของมะเร็งที่ถูกต้อง เลือกยารักษาได้ตรงกับชนิดมะเร็ง เพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต เช่นถ้าเจอก้อนที่ตับ มะเร็งอาจเกิดจากเซลล์ตับ คือ มะเร็งตับระยะแรกที่ยังรักษาได้ หรือเกิดจากมะเร็งลำไส้กระจายมาที่ตับ คือ มะเร็งลำไส้ระยะแพร่กระจาย ซึ่งยากมากที่จะรักษาหายขาด
- 3. การกำหนดระยะโรคและการรักษาตามแนวทางมาตรฐาน ประกอบด้วยการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ตรวจเลือดค่าการทำงานของอวัยวะสำคัญ ตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง ประเมินภาพทางการแพทย์ และผลตรวจชิ้นเนื้อ ซึ่งแบ่งได้เป็น 4 ระยะ โดยมะเร็งเกือบทั้งหมดในระยะแรกโอกาสหายขาดคือไม่มีมะเร็งเดิมอีกภายใน 5 ปี เกือบ 100% เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่ถ้าเป็นระยะสี่การอยู่รอด 5 ปีจะเหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งในสี่เท่านั้น
เมื่อทราบชนิดและระยะมะเร็งแล้ว ทีมแพทย์เจ้าของไข้ก็จะเริ่มการรักษาตามแนวทางมาตรฐาน standard guideline ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถค้นข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของสมาคมวิชาชีพ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ หรือโรงเรียนแพทย์ต่างๆ เพื่อจะได้พูดคุยกับแพทย์ และเลือกแผนการรักษาที่เหมาะสมกับระยะโรค สภาพผู้ป่วย ผู้ดูแล และงบประมาณ