“ฝ้า” หนึ่งในปัญหาผิวหนังที่มักพบในคนที่อยู่ในประเทศเขตร้อน เช่น ไทย พม่า ลาวและกัมพูชา เนื่องจากได้รับแสงแดดมากกว่า ซึ่งประเทศไทยเรานั้นในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยเดินทางมารักษา ฝ้า (Melasma) กับหมอผิวหนังเป็นจำนวนมาก
ในประเทศไทยพบอุบัติการณ์ของการเกิดฝ้าได้ประมาณ 0.25 – 0.33% และอัตราส่วนของผู้หญิงต่อผู้ชายคือ 2 – 24 ต่อ 1 โดยข้อมูลสถิติโรคผิวหนัง พบว่าผู้ป่วยที่มารับการรักษาฝ้ามีถึง 2.3% ของผู้ป่วยทั้งหมด สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย จึงอยากให้คำแนะนำเพื่อเป็นความรู้สู่ประชาชนในเรื่องการดูแลรักษาฝ้าให้กับสาวๆ ทุกคนที่รักความสวยความงาม เฝ้าระวังไม่ให้เป็นฝ้าอย่างถูกวิธี
เรื่องของฝ้าเป็นปัญหาในเรื่องของความสวยงาม ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อสุขภาพ ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แต่ถ้ามีความกังวลเรื่องความสวยงาม อาจต้องทำความเข้าใจว่าการรักษาฝ้านั้นค่อนข้างยาก ใช้เวลาในการรักษานานและอาจหายไม่หมดหรือหายแล้วก็อาจกลับเป็นใหม่ได้ง่าย ฝ้ามีลักษณะเป็นผื่นปื้นสีคล้ำที่อยู่บนใบหน้า และมักเป็นเท่ากันทั้งสองข้าง (symmetry) โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ดั้งจมูก เหนือริมฝีปาก และคาง เกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดสี (melanin pigments) ที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด ดังนั้นผื่นจึงมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ภาวะนี้มักเกิดในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ในผู้ชายก็พบได้ และพบในผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า ประกอบด้วย
ในเรื่องการรักษาฝ้านั้น มักใช้หลายวิธีในการรักษาร่วมกัน คือ
สรุปคือ “ฝ้า” เป็นปัญหาในเรื่องของความสวยงาม ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อสุขภาพ ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แต่หากจะรักษาควรรับการรักษากับแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจจะตามมา
ขอขอบคุณ : สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย