สารพันปัญหาฝ้า………ของคุณสาวๆ

ผักกินสุก หรือดิบ…..รู้มั๊ย
October 13, 2021
มหัศจรรย์ “ปัสสาวะ”
October 25, 2021

ฝ้า” หนึ่งในปัญหาผิวหนังที่มักพบในคนที่อยู่ในประเทศเขตร้อน เช่น ไทย  พม่า  ลาวและกัมพูชา เนื่องจากได้รับแสงแดดมากกว่า ซึ่งประเทศไทยเรานั้นในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยเดินทางมารักษา ฝ้า (Melasma) กับหมอผิวหนังเป็นจำนวนมาก

ในประเทศไทยพบอุบัติการณ์ของการเกิดฝ้าได้ประมาณ 0.25 – 0.33% และอัตราส่วนของผู้หญิงต่อผู้ชายคือ 2 – 24 ต่อ 1 โดยข้อมูลสถิติโรคผิวหนัง พบว่าผู้ป่วยที่มารับการรักษาฝ้ามีถึง 2.3% ของผู้ป่วยทั้งหมด สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย จึงอยากให้คำแนะนำเพื่อเป็นความรู้สู่ประชาชนในเรื่องการดูแลรักษาฝ้าให้กับสาวๆ ทุกคนที่รักความสวยความงาม เฝ้าระวังไม่ให้เป็นฝ้าอย่างถูกวิธี

เรื่องของฝ้าเป็นปัญหาในเรื่องของความสวยงาม ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อสุขภาพ ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แต่ถ้ามีความกังวลเรื่องความสวยงาม อาจต้องทำความเข้าใจว่าการรักษาฝ้านั้นค่อนข้างยาก ใช้เวลาในการรักษานานและอาจหายไม่หมดหรือหายแล้วก็อาจกลับเป็นใหม่ได้ง่าย ฝ้ามีลักษณะเป็นผื่นปื้นสีคล้ำที่อยู่บนใบหน้า และมักเป็นเท่ากันทั้งสองข้าง (symmetry) โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม ดั้งจมูก เหนือริมฝีปาก และคาง เกิดจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเม็ดสี (melanin pigments) ที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด ดังนั้นผื่นจึงมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ภาวะนี้มักเกิดในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ในผู้ชายก็พบได้ และพบในผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า ประกอบด้วย

  1. การได้รับแสงอัลตร้าไวโอเลตทั้ง A (UVA) และ B (UVB) ที่มีอยู่ในแสงแดด เป็นปัจจัยหลักในการกระตุ้นให้เกิดฝ้า
  2. ฮอร์โมนเพศหญิง โดยเฉพาะ estrogen เนื่องจากผู้หญิงเป็นฝ้ามากกว่าผู้ชาย โดยมักพบในช่วงที่รับประทานยาคุมกำเนิดและช่วงตั้งครรภ์
  3. พันธุกรรมและเชื้อชาติ โดยพบว่าคนเอเชียเป็นฝ้าได้ง่ายกว่าคนผิวขาวและสามารถพบในครอบครัวเดียวกันได้บ่อยด้วย

 

ในเรื่องการรักษาฝ้านั้น มักใช้หลายวิธีในการรักษาร่วมกัน คือ

  1. การรักษาตามสาเหตุและแก้ไขหรือหลีกเลี่ยงจากสาเหตุนั้น เช่น พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด หรือใช้ครีมกันแดด
  2. การทำให้ฝ้าจางลงโดยการใช้สารที่ทำให้ผิวขาว โดยทั่วไปมักใช้ยาทาผสมกันหลายตัว และต้องดูผลการรักษาบ่อยๆ ทุก 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อสังเกตผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ผิวตรงที่ทายามีอาการแดง หรือบางลงกว่าปกติ ถ้ามีผลข้างเคียงอาจต้องปรับยา
  3. การลอกฝ้าด้วยสารเคมี ซึ่งเป็นวิธีการเสริม เพื่อทำให้ฝ้าจางเร็วขึ้น โดยทั่วไปจะใช้กรดอ่อนๆ เช่น alpha hydroxyl acids (AHAs) หรือ trichloracetic acid 30-50% เพื่อทำให้เซลล์ผิวหนังในชั้นบนๆ หลุดลอกออก และทำให้เม็ดสีที่อยู่ด้านบนหลุดออกไป การลอกฝ้านั้นจะต้องทำติดต่อกันอย่างน้อย 3 – 4 ครั้ง ทุก 2 – 4 สัปดาห์ โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น หากทำเองหรือทำโดยแพทย์ผู้ไม่ชำนาญมีโอกาสเสี่ยงซึ่งผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง เช่น หน้าลอกหรือไหม้ได้

สรุปคือ “ฝ้า” เป็นปัญหาในเรื่องของความสวยงาม ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อสุขภาพ ดังนั้นอาจไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ แต่หากจะรักษาควรรับการรักษากับแพทย์ผู้ชำนาญเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจจะตามมา

 

ขอขอบคุณ : สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

 

Buy now