ปัจจุบัน “โรคประสาทหูเสื่อม” กำลังเป็นปัญหาในระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งจากสถานการณ์ทั่วโลกพบว่า ทั้งเพศชายและเพศหญิงมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียการได้ยินถึง 1,100 ล้านคน
องค์การอนามัยโลกได้ออกมาเตือนว่า ไม่ควรฟังเพลงเสียงดังนานติดต่อกันเกิน 1 ชั่วโมง และควรลดระดับความดังเสียงลงร้อยละ 60 ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคประสาทหูเสื่อม และลดโอกาสการสูญเสียการได้ยินลงไปได้
“โรคประสาทหูเสื่อม” ทำให้สูญเสียการได้ยินและการสื่อสาร เป็นโรคที่คุกคามต่อชีวิต สร้างปัญหาให้กับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยและคนรอบข้าง จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การใช้หูฟังเพื่อการสื่อสาร ฟังเพลงหรือชมภาพยนตร์เป็นเวลานานๆ การเข้าผับ บาร์ หรือชมคอนเสิร์ต ที่มีเสียงดัง เสียงต่างๆ ที่เราต้องเจอในชีวิตประจำวัน ทั้งบนท้องถนน ที่ทำงาน เช่น ชาวไร่ชาวนาที่ใช้เครื่องจักรเสียงดัง ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีเครื่องจักรเสียงดัง นักดนตรี อาชีพทหาร – ตำรวจที่ต้องซ้อมยิงปืน หรือซ้อมภาคสนาม ต้องเผชิญกับเสียงที่ดังมากเพียงระยะเวลาสั้นๆ ทั้งหมดนี้อาจส่งผลให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมก่อนวัยอันควรได้
การได้ยินเสียงดังนั้น จะทำให้เซลล์ประสาทหูทำงานหนักมากขึ้น และจะเกิดภาวะเสื่อมถอย เกิดภาวะอักเสบ การแตกหักบาดเจ็บของเซลล์ประสาทหู อีกทั้งยังส่งผลให้เซลล์ที่สามารถทำงานได้ดีมีจำนวนลดลง โดยเสียงดังมักจะทำลายเซลล์หูที่รับเสียงสูงก่อน โดยระยะเริ่มแรกอาจมีอาการหูอื้อ มีเสียงดังรบกวนในหู และเริ่มพูดคุยสนทนากับผู้อื่นด้วยเสียงดังมากขึ้น
ถ้ามีอาการดังนี้ เข้าข่าย “โรคประสาทหูเสื่อม” จากเสียงดัง
นอกจากเสียงดังที่มากเกินกำหนดแล้ว การฟังที่ปลอดภัย ยังอาจขึ้นกับระดับเสียง ความถี่ ระยะเวลาในการได้ยิน โดยในการทำงานกำหนดให้ความดังไม่เกิน 85 เดซิเบล ไม่นานเกิน 8 ชั่วโมง (ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียง) และทุกความดังที่มากขึ้น ชั่วโมงการทำงานจะลดลงเหลือ 4 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่น เสียงในระดับ 82 เดซิเบล ไม่ควรนานเกิน 16 ชั่วโมง, 85 เดซิเบล ไม่นานเกิน 8 ชั่วโมง และเสียงในระดับ 88 เดซิเบล ไม่ควรนานเกิน 4 ชั่วโมง เป็นต้น
วิธีป้องกันโรคประสาทหูเสื่อมจากการได้ยินเสียง
ดังนั้นการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและไม่ประมาท จึงน่าจะเป็นหนทางในการดูแลรักษาสุขภาพที่ดีที่สุด ถึงแม้จะเป็นเพียง “หู” แต่ก็เป็นอวัยวะที่สำคัญกับร่างกายเราเช่นกันค่ะ
https://www.healthchannel.co.th/
https://www.facebook.com/Globalhealthchannel